มะละกา มรดกโลก เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ในมาเลเซียที่มีเสน่ห์และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ด้วย สถาปัตยกรรม ที่แปลกตาและสวยงาม ผสมผสานกับศิลปะและวัฒนธรรมดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี เมืองมะละกามีความโดดเด่นที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกในเอเชีย การเดินทางจากประเทศไทยยังทำได้ง่ายและยังมีวิธีการเดินทางอีกมากมาย
เป็นเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สนามบินนานาชาติมะละกาในเมืองมะละกา ที่ เที่ยว มะละกา ฉันควรนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์และขึ้นรถบัสจากสถานี Bersepadu Selatan ไปยังสถานีขนส่งมะละกา ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ค่าโดยสาร RM11 – RM15 เท่านี้เราก็สามารถเดินทางไปค้นหามนต์เสน่ห์ของมะละกาได้อย่างง่ายดาย
5 Checkpoint มะละกา มรดกโลก
มะละกา มรดกโลก ของมาเลเซีย หลายคนอาจรู้จักชื่อเมืองนี้จากวิชาสังคมศึกษาในชั้นประถมศึกษา มะละกาและจอร์จทาวน์ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของประเทศใด เพราะในอดีตมะละกาเป็นเมืองที่ถูกครอบครองโดยประเทศตะวันตกที่ชอบเข้ามาล่าอาณานิคม ปัจจุบันมะละกาเป็นเมืองที่ทันสมัยและน่าอยู่ แต่ยังคงทิ้งร่องรอยอดีตไว้อย่างสวยงาม วันนี้ จะพาไปทัวร์ 5 ด่านที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนมะละกา จะเป็นที่ใดติดตามได้จากบทความนี้
Dutch Square
มะละกาและจอร์จทาวน์ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของประเทศใด บริเวณนี้เปรียบเสมือนหัวใจของมะละกา ซึ่งมีโบสถ์มาลากาเป็นศูนย์กลางอาคารส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ทาด้วยสีแดงเข้ม บริเวณหน้าโบสถ์มะละกาจะมีรถสามล้อการ์ตูนน่ารักมากมายคอยให้บริการนักท่องเที่ยวพาเที่ยวชมเมืองมะละกา และซุ้มถ่ายรูปที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของมะละกา
Dutch Market เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในใจกลาง เมืองมะละกา ด้วยความสวยงามของบ้านอิฐแดงที่เข้ากันได้ดีกับสถาปัตยกรรมของชาวดัตช์ที่เคยเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ให้จัตุรัสใจกลางเมืองแห่งนี้กลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของมะละกาที่ควรค่าแก่การมาเยือนในมาเลเซีย สถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง ได้แก่ โบสถ์คริสต์ (โบสถ์นิกายโปรเตสแตนต์) หอนาฬิกา และกังหันลมดัตช์ ซึ่งสามารถเดินเยี่ยมชมได้ฟรี
สถาปัตยกรรม ของตัวอาคารเป็นแบบชิโนโปรตุกีสทั้งหมด คล้ายๆ เมืองเก่าภูเก็ตบ้านเรา ที่ เที่ยว มะละกา เดินไปอีกหน่อยก็จะเจอ Baba Nyonya Heritage Museum ซึ่งเป็นบ้านจริงๆ ของ Baba และ Nyonya อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ สามีภรรยาฉันเป็นคนจีนที่มามะละกา และการค้าอัญมณีและทองคำสร้างเรื่องราวและเป็นครั้งแรกในมะละกาที่ทำรองเท้าที่ใช้ลูกปัดที่สวยงาม
จากนั้นเราไปเดินชิลล์กันต่อที่ Jonker Street มีร้านขายของฝาก San Shu Gong อยู่หน้าถนน ขนมจากมาเลเซียมากมาย มาช้อปกันยังมีขนมจากมะละกาที่สดชื่นและอร่อยซึ่งหน้าตาเหมือนลอดช่องสิงคโปร์ที่ไทยเรียกว่าเก็นดอลจริงๆเพียงแต่ว่ารสชาติจะเข้มข้นกะทิและขมกว่านิดหน่อย ได้กินของหวานเย็นนี้แล้วมีความสุขมาก!
โบสถ์เซนต์ปอล
ที่นี่อากาศร้อน แนะนำว่าให้พกครีมกันแดดมาด้วยไม่งั้นโดนเผาแน่ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วเราก็เดินทางต่อไปยังจุดไฮไลท์ของมะละกาซึ่งเป็นย่านประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองมะละกา (ในที่นี้ คำว่า มะละกา สะกดได้หลายแบบ มะละกา มะละกา มะละกา แต่อ่านแต่ละคำว่า มะละกา อย่าสับสน!)
พื้นที่นี้ได้รับการอนุรักษ์โดย รัฐบาลมาเลเซีย ในปี 2015 มะละกายังได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดย UNESCO ทำให้เมืองนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย
นอกจากจะได้ชมเมืองเก่าและโบสถ์ต่างๆ แล้ว ยังสามารถนั่งรถสามล้อถีบซึ่งคล้ายกับรถสามล้อในเชียงใหม่และยังสามารถท่องเที่ยวไปรอบๆ ราคาประมาณ 40 ริงกิต ขึ้นสามล้อไปดูสักครั้ง สีรถสวยสะดุดตา มีคิตตี้ สโนว์ไวท์ และดอกไม้ มันเต็ม ใครชอบแบบไหนก็เลือกได้เลย ฮ่าๆ
มะละกาและจอร์จทาวน์ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของประเทศใด ลุงสามล้อท่าทางจะเหนื่อยน่าดูเลย 555 สถานที่แรกที่เราไปดูคือ โบสถ์เซนต์ปอล ลุงบอกว่าจะรอข้างล่าง เดินขึ้นคนเดียว กลับมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง โอเค ลุง!
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมามะละกา มรดกแห่งเอเชียแห่งนี้คือ โบสถ์เซนต์ปอล โบสถ์เซนต์ปอลเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 500 ปี ตั้งแต่สมัยนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ซึ่งเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ นักบุญชาวดัตช์ (นิกายโปรเตสแตนต์) โบสถ์เซนต์ Pavle ไม่ได้ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาและเป็นสถานที่ฝังศพของบุคคลสำคัญแทน แม้ว่าโบสถ์เซนต์ จุดจบที่น่าเศร้าของ Pavla แต่ยังคงไว้ซึ่งความเข้มขลังและงดงาม นับเป็นเสน่ห์อีกอย่างของมะละกาที่น่ามาเยือน
ที่ เที่ยว มะละกา โบสถ์แห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของ ศาสนาคริสต์ ในมะละกา เป็นโบสถ์ที่ดูใหญ่โตมากในสมัยก่อน แต่หลังจากการทิ้งระเบิดรุกรานของชาวคริสต์ที่นับถือนิกายต่าง ๆ ทำให้โบสถ์ได้รับความเสียหายเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ปัจจุบัน กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองมะละกา มันดูเป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์แห่งนี้ เนื่องจากตั้งอยู่บนเนินเขาจึงสามารถชมวิวเมืองมะละกาจากมุมสูงได้
ด้านล่างของโบสถ์หลังเก่าจะคล้ายๆ เมืองป้อมปราการที่กลายเป็น ซากปรักหักพัง คุณสามารถเห็นหอคอย มาถ่ายรูปกันเถอะ! เราเดินทางต่อไปยังโบสถ์บนยอดเขา นี่เป็นจุดชมวิวที่ดีมาก เมืองมะละกามองเห็นทั้งเมือง กลางเมืองมีโรงเก็บขยะขนาดใหญ่ เห็นเรือสำราญอยู่ไกลๆ ก็อดใจไม่ไหวที่จะถ่ายรูป >.<
The Shore Sky Tower
หอคอยมะละกา ฉันมั่นใจว่าไม่ว่าจะเดินไปทางไหนในเมืองมะละกาก็จะมองเห็นหอคอยแห่งนี้ เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในเมืองมะละกา แค่ขึ้นไปชมวิวก็เหมือนได้ขึ้นไปชมวิวมุมสูงของสวนสยามในกรุงเทพฯ ปีนขึ้นไปบนแท่นชมวิวแล้วอาคารจะพาเราขึ้นไปบนยอดเสาของหอคอยโดยอัตโนมัติ ซึ่งไม่ต้องขึ้นลิฟต์เพื่อชมวิวเมืองเหมือนหอคอยอื่นๆ
แม่น้ำมะละกา
ถ้าแดดร่มลมตก อีกจุดที่ผมแนะนำคือริม แม่น้ำมะละกา ย่านนี้เป็นถนนคนเดินและทุกซอกซอยก็มีสตรีทอาร์ตสวยๆ สวยๆ เหมาะแก่การถ่ายรูป การเดินเล่นยามเย็นไปตามแม่น้ำมะละกาเป็นกิจกรรมเสริมที่ดีในการทัวร์เมืองมะละกา
แม่น้ำมะละกา อีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่จะทำให้เราหลงรักเมืองนี้ แม่น้ำมะละกา เป็นแม่น้ำสายสำคัญและต้นทางที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมะละกา ถัดจากถนนจองเกอร์ เดิมมะละกาเป็นเมืองท่าสำคัญในการนำเข้าและส่งออกสินค้าที่เรียกว่า “ช่องแคบมะละกา ” แม้ว่าจะไม่ใช่ท่าเรือสำคัญอีกต่อไป แต่แม่น้ำสายนี้ยังคงรักษาความงามและวิถีชีวิตของชาวมะละกาไว้ได้ ยังมีบริการนั่งเรือชมบ้านเรือนและวิถีชีวิตของชาวมะละกาที่รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
มัสยิดเซลัต (Masjid Selat Melaka) สันติสุขกลางสายน้ำ
มะละกา มรดกโลก มาถึงมะละกาแล้วหิวอีกเมนูที่ห้ามพลาดเด็ดขาด ข้าวมันไก่มะละกา ซึ่งเป็นข้าวมันไก่ธรรมดา แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาคือข้าวมันที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นของมะละกา อาหารจานนี้ที่ใครมามะละกาต้องกินก็คือข้าวที่ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ซึ่งเวลาต้องหั่นลูกแล้วตักไก่ที่สุกแล้ว ซึ่งข้าวปั้นในลูกจะแฉะๆ แฉะๆ ซึ่งผมว่าอร่อยกว่ากินข้าวปั้นไก่ที่เรารู้จัก ใครๆ ก็ว่าได้มาแล้ว ในมะละกา. ราคาประมาณจานละ 10 ริงกิต
สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของมะละกาที่ทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนอยากมาเยือนมาเลเซียก็คือ มัสยิดลอยน้ำ (มัสยิดเซลาตมะละกา) มัสยิดเซลาตตั้งอยู่บน เกาะเทียมปูเลย์ บนเกาะปูเลย์โดยรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเลเซียและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ มัสยิด Zelat สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสวยงาม ตัดกับน้ำทะเลสีครามอย่างสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชม แต่มีข้อแม้ว่านักท่องเที่ยวผู้หญิงต้องแต่งกายและคลุมผมด้วยฮิญาบ ไฮไลท์ของที่นี่คือการถ่ายรูปมัสยิดในตอนค่ำ มัสยิดจะฉายแสงเจิดจ้าตัดกับขอบฟ้าสีแดง ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวต่างชาติรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ รับรองสวย คุ้มราคา นั่งแท็กซี่จากตัวเมือง